bangkok marathon 2010

bkkmarathon2010

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้ไปร่วมวิ่งในงาน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์กรุงเทพมาราธอน ครั้งที่ 23 นับเป็นการร่วมมหกรรมการแข่งขันกีฬาชนิดนี้เป็นครั้งแรกจึงขอจดบันทึกไว้ซะหน่อย

สำหรับการวิ่งครั้งนี้ เราพลาดไปหน่อยตรงที่สมัครใกล้ๆ วันแข่ง เลยต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม  200 บาท ดังนั้นคราวหน้าถ้าคิดว่าจะวิ่งแน่ๆ ให้สมัครล่วงหน้าไปเลย

ปกติการวิ่งมาราธอนจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ full marathon 42.195 km, half marathon 21 km, mini marathon 10 km, micro marathon 5 หรือ 2.5 km (เป็นระยะทางโดยประมาณ อาจมีคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย) โดยจะเริ่มวิ่งตั้งแต่เช้ามืด พวกที่วิ่งแบบไกลๆ ก็ต้องตื่นเช้าหน่อย ส่วนเราลงแบบ mini marathon เริ่มแข่ง 6.15 น.

วันที่แข่ง ตรงกับวันที่ 21 พ.ย. 2553 ซึ่งเป็นวันลอยกระทงของไทยพอดี ตอนเช้ามืดที่เรานั่งรถแท็กซี่ไป จึงเห็นพระจันทร์เต็มดวงสีเหลืองนวล สวยงามมาก ยิ่งตอนที่รถวิ่งผ่านสะพานพุทธ ภาพพระจันทร์เคียงคู่กับพระปรางค์วัดอรุณฯ มันติดตาเราเลย 🙂

พอเราไปถึงสถานที่เริ่มวิ่ง ตรงบริเวณหน้ากระทรวงกลาโหม มีนักวิ่งมากันเยอะมาก ขณะนั้น พวกวิ่ง full marathon เขาเริ่มวิ่งกันแล้ว (เห็นนักวิ่งจากแอฟริกาหลายคนทีเดียว) บริเวณงานก็จะมีร้านรวงขายพวกเสื้อผ้ากีฬาสำหรับวิ่ง หรือขายน้ำมันมวย ครีมต่างๆ ไว้ทากล้ามเนื้อให้เตรียมพร้อมวิ่ง ส่วนบริเวณที่รอวิ่งในรอบถัดไปคือ mini marathon ก็มีสมาคมชมรมต่างๆ มีนักวิ่งทั้งคนไทยและต่างประเทศ คนในเมืองคนต่างจังหวัด เด็กตัวเล็กๆ ยันคนแก่ผมหงอก เรียกได้ว่ามีคนเข้าร่วมการแข่งขันที่หลากหลายจริงๆ

เมื่อถึงเวลาออกสตาร์ทของ mini marathon จะมีทีมงานเป็นนักปั่นจักรยานคอยปั่นนำด้านหน้า แล้วฝูงนักวิ่งจำนวนมหาศาลก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากจุดสตาร์ทบริเวณหน้ากระทรวงกลาโหม ภาพนักวิ่งจำนวนมหาศาลที่วิ่งขึ้นสะพานปิ่นเกล้า ภาพพระอาทิตย์ยามเช้าตรงสะพานพระรามแปดที่ไร้รถยนต์ (เพราะปิดถนน) ภาพผู้คนริมถนนและรถราที่หยุดให้นักวิ่งจำนวนมากวิ่งผ่าน เป็นภาพเราคงไม่มีทางได้พบถ้าไม่ได้เข้าร่วมการวิ่งครั้งนี้

สิ่งที่เราประทับใจมากในการวิ่งครั้งนี้ คือบรรยากาศการวิ่งที่มีผู้คนหลากหลายมาก นอกจากจะมีคนวิ่งตามปกติแล้ว เรายังเห็นอะไรสนุกๆ มากมาย เช่น คนจูงหมามาวิ่ง ทีมนักวิ่งที่วิ่งกันโดยพร้อมเพรียงพร้อมกับร้องเพลงไปด้วยอย่างสนุกสนาน คนรักที่นัดกันแต่งชุดเหมือนกันมาวิ่งและประคองซึ่งกันและกัน คุณลุงซึ่งเอาลูกโป่งผูกไว้ที่หัวตลอดการวิ่ง เด็กน้อยแต่งชุดไทย มนุษย์ตะกั่ว ฯลฯ ภาพเหล่านี้เราแทบจะไม่พบเห็นเลยเมื่อเราซ้อมวิ่งตามปกติในสวนสาธารณะ ถือว่าเป็นสีสันอย่างนึงสำหรับการวิ่งในไทยเลยทีเดียว

อีกเรื่องที่เราชอบ คือเมื่อวิ่งกันจำนวนมากแบบนี้ ผู้คนที่วิ่งไปพร้อมกันจะสร้างกำลังใจให้เราวิ่งได้ดีมากกว่าปกติ พี่ที่มาวิ่งกับเราตอนซ้อมไม่เคยวิ่งถึง 10 กิโลเลย (เพราะวิ่งไม่ไหว) แต่พอวิ่งจริงกลับทำได้ เราเองก็ทำสถิติได้ดีกว่าตอนซ้อมหลายเท่านัก ขณะที่เราวิ่งมันเหมือนกับชีวิตจริงของคนเรา ที่ระหว่างทางวิ่งถ้ามีเป้าหมายว่าจะต้องวิ่งตามน้องคนนั้นหรือพี่คนนู้น มันก็จะทำให้เราวิ่งได้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเราวิ่งทันเป้าหมายก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ หรือเมื่อเราเลือกเป้าหมายผิด วิ่งตามไม่ทันก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ จนสุดท้ายก็เข้าไปถึงเส้นชัย

นอกจากนี้การวิ่งมาราธอน ยังเตือนใจให้เราคิดว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการวิ่งไม่ใช่การเข้าเส้นชัยอย่างเดียว บรรยากาศโดยรอบของผู้ร่วมแข่งขันระหว่างทาง อุปสรรคความเจ็บปวดระหว่างการวิ่ง (สิ่งที่เราชอบอีกอย่างของการวิ่งทางไกล คือทำให้เราได้รู้จักความเจ็บปวด รู้จักขีดจำกัดของร่างกายตนเอง ซึ่งชีวิตประจำวันปกติคงไม่ค่อยได้หาเรื่องมาทำให้ตนเองเหนี่อยแทบขาดใจซักเท่าไหร่) ได้เจอเพื่อนเจอคนรู้จัก ระหว่างทางได้ยินเสียงเชียร์ให้กำลังใจของคนสองข้างทาง เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันสำคัญไม่แพ้การวิ่งเข้าเส้นชัย ทำเวลาได้ดี ได้รับเงินรางวัลเลย นอกจากนี้มันยังสะท้อนให้เราคิดถึงการใช้ชีวิต การทำงาน ว่าเรามัวคิดแต่เป้าหมายปลายทาง จนลืมคนรอบข้างเราตอนนี้ ประสบการณ์ที่เราได้รับตอนนี้รึเปล่า

ในที่นี้ต้องขอขอบคุณรุ่นพี่คนที่ชักชวนให้เรามาวสัมผัสประสบการณ์ที่สุดยอดในครั้งนี้ (รวมถึงมาซ้อมวิ่งกับเราตั้งหลายครั้ง) และแน่นอนว่าเราคงกลายเป็นอีกคนที่เสพติดการวิ่งไปซะแล้ว 😀

 

ป.ล. วิ่ง 10 km ครั้งนี้ เราทำเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงพอดี คราวหน้าต้องพยายามให้สถิติดีกว่านี้ด้วย

4 responses to “bangkok marathon 2010”

  1. ตอนนี้เวลาพูดถึงเรื่องวิ่ง ๆ ก็จะนึกถึงอยู่สองอย่าง
    คือหนังเรื่อง Running Boy
    กับหนังสือเรื่อง What I Talk About when I Talk About Running

    แมงโก้ไม่เค้ย ไม่เคยวิ่งอะไรแบบนี้เลย
    แต่รู้สึกว่าการวิ่งมาราธอนเป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่มาก
    แล้วก็จะทึ่งคนที่ลงแข่งวิ่งทำนองนี้
    หรือไม่ก็คนที่วิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ

    พี่อึดโคตร ๆ เลยว่ะ!

    • พี่ไม่ค่อยอึดหรอก วันรุ่งขึ้นก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไปทำงานแทบไม่ไหว 😀

  2. ยินดีด้วยค่ะ เราว่าการก้าวข้ามเส้นระหว่าง “นอนอยู่บ้าน” กับ “ออกไปวิ่ง” ไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ได้ “ออกไปวิ่ง” แล้วควรภูมิใจค่ะ

    นึกถึงหนังสือของมูราคามิเหมือนกัน…

    • ขอบคุณครับ จริงๆ นอกจากการก้าวข้ามเส้นนอนอยู่บ้านกับออกไปวิ่งแล้ว ยังมีอีกเส้นทีต้องก้าวให้พ้นตอนวิ่ง คือวิ่งต่อจนครบเป้าระยะทางที่ตั้งไว้กับพอแล้วเหนื่อยพักดีกว่า 🙂

Leave a comment